2021-11-26 00:00:00| SHARES
ปัจจุบันเครื่องสำอางและสกินแคร์เป็นไอเทมที่ไม่ว่าชายหรือหญิงมักจะต้องใช้กันอยู่เป็นประจำเพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพหรือใบหน้าของเราให้ดูดี ซึ่งในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาให้เราได้เลือกใช้งานกันอย่างมากมาย ซึ่งมีตั้งแต่ราคาถูกมากๆ ไปจนถึงราคาแพงเวอร์และให้ผลลัพธ์เร็ว-ช้าแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้เอง หลายๆ คนที่ขาดความรู้ในเรื่องนี้จึงมักจะเลือกเครื่องสำอางและสกินแคร์จากราคา รวมถึงสามารถเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว โดยมองข้ามเรื่องสารหรือส่วนผสมที่อยู่บนผลิตภัฑ์เหล่านั้นไป ต้องขอเตือนเลยว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ ถ้าไม่ศึกษาเรื่องสารที่อยู่ในเครื่องสำอางและสกินแคร์ของเราให้ดีเสียก่อน เพราะสิ่งที่เราเลือกมาใช้งานนั้นอาจจะเปลี่ยนหน้าสุดปังให้เป็นพังพินาศได้ในพริบตา ดังนั้น ต้องเช็กให้ดีเสียก่อนว่าสารสุดอันตรายเหล่านี้ผสมอยู่ด้วยหรือไม่ ตามมาดูกันเลยค่ะ
เป็นสารยอดนิยม มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าขาวใส หากคุณพบเจอโฆษณาของผลิตภันฑ์บำรุงผิวหน้าที่อวดสรรพคุณว่าสามารถทำให้ใบหน้าของคุณใสไร้สิวในเวลาอันสั้น เช็กให้ดีเลยว่ามี “สเตียรอยด์” ผสมอยู่ด้วยหรือเปล่า เพราะสารชนิดนี้อันตรายกับผิวเป็นอย่างมาก โดยเมื่อคุณใช้ผลิตภัณฑ์บํารุงผิวหน้าที่มีสารนี้ผสมอยู่ในช่วงแรกๆ ผิวหน้าของคุณจะไร้สิวอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณหยุดใช้ สิวทั้งหลายที่หายไปของคุณจะกลับมาลุกลามยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นผิวที่เหี่ยวเร็ว หมองคล้ำ แตกลายเป็นรอยแดง อย่างไรก็ตามแม้ว่าคุณจะฝืนใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ผสมสเตียรอยด์ต่อไปก็ตามก็จะมีผลเสียตามมาเช่นกันโดยจะทำให้หน้าของคุณเกิดด่างขาวถาวร เพราะฉะนั้นห้ามนำมาใช้กับผิวหน้าอย่างเด็ดขาด
ผลข้างเคียง: การใช้ยาสเตียรอยด์ที่มีความเข้มข้นสูง ใช้ผิดวิธี และใช้เป็นระยะเวลานาน ก็ส่งผลให้เกิดผดผื่น ผิวหน้าบางลง จนทำให้เห็นเส้นเลือดตามใบหน้าได้ชัดขึ้น ซึ่งการที่ผิวหน้าบางลงก็จะทำให้ผิวบอบบางและแพ้ได้ง่ายขึ้น และที่ปนเปื้อนมากับผลิตภัณฑ์สินค้า ก็อาจทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร ยับยั้งการเจริญเติบโตในเด็ก อาจทำให้ผู้ป่วยเบาหวาน น้ำตาลควบคุมไม่ได้ เสี่ยงต่อการเสียชีวิต และที่สำคัญคือ เจ้าตัวนี้จะไปกดภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่มีการติดเชื้อ เช่น ตอนป่วย อาการเหมือนสบายดี
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม: ในทางการแพทย์ สารชนิดนี้สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาปกติได้ เช่น ใช้เป็นยาทาภายนอก โดยทาเฉพาะบริเวณที่เป็นผื่น ไม่ทางลงบนผิวหนังปกติและต้องมีปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป
โดยสารปรอทนี้มักจะถูกลักลอกนำมาใช้กับเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว ด้วยคุณสมบัติที่ดึงดูดให้อยากใช้สินค้าที่มีสารปรอทคือ เรื่องของฝ้าบนผิว โดยเมื่อคุณเริ่มใช้สารนี้สิ่งแรกที่คุณจะพบคือ ผิวของคุณจะขาวกระจ่างใส ฝ้า กระ และสิว จะหายไปอย่างรวดเร็วได้แบบทันใจ! แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณหยุดใช้ สิ่งที่ได้กลับมาจะทำให้คุณอึ้งยิ่งกว่า
ผลข้างเคียง : สารปรอทจะทำให้ผิวแพ้ง่าย ผื่นแดง เกิดฝ้าถาวร ผิวหน้าดำคล้ำจนกลายเป็นสีปรอทหรือสีดำอมเทา ผิวบางและอ่อนแอลง ซึ่งถ้าคุณไม่หยุดใช้และยืนยันจะใช้ต่อไปสารปรอทจะซึมเข้าสู่กระแสเลือดและทำลายละบบส่วนกลาง ทำให้เกิดทางเดินปัสสาวะและไตอักเสบ ทำให้เป็นโลหิตจาง อีกทั้งในสตรีมีครรภ์ปรอทจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไปสู่ทารก ทำให้เด็กมีสมองพิการและปัญญาอ่อน
เพราะฉะนั้นจงระวังห้ามใช้เครื่องสำอางที่มีสารปรอทโดยเด็ดขาด โดยส่วนใหญ่สินค้าที่ทำให้หน้าพังมาจากการใส่ปรอทลงไปในปริมาณที่เกินกว่ากำหนด ซึ่งในปัจจุบันนี้กระทรงสาธารณสุขประกาศให้ปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตั้งแต่ พ.ศ. 2532 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 37 พ.ศ. 2532 ออกตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2517 และยังคงห้ามใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 9 พ.ศ. 2536 ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535
สารไฮโดรควิโดนมักจะพบในเครื่องสำอางที่ช่วยลดฝ้าเช่นเดียวกับสารปรอท มีคุณสมบัติในการช่วยฟอกสีผิว ทำให้ฝ้าจางลงอย่างรวดเร็ว สารนี้ออกฤทธิ์ลดการสร้างเมลานิน โดยขัดขวางเอนไซม์ไทโรซิเนสในการออกซิไดซ์ไทโรซิน ในขั้นตอนแรกของการสร้างเมลานิน ผลคือลดการสร้างเมลานินของไฮโดรควิโนนเป็นเพียงชั่วคราว หากหยุดใช้จะกลับเป็นอย่างเดิมหรือเป็นมากกว่าเดิม
ผลข้างเคียง : หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานราวๆ 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนัง เกิดอาการระคายเคือง ผิวหน้าบาง ไวต่อแดด ทำให้เกิดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจนกลายเป็นรอยดำหนาที่เรียกว่าฝ้าเนื้อหรือฝ้าถาวรอมดำที่แสนน่าเกลียดในที่สุด ถ้าไม่อยากหน้าพัง หลีกเลี่ยงสารชนิดนี้กันให้ดี อย่าได้นำมาใช้กับหน้าคุณเป็นอันขาด อันตรายมากๆ
ดังนั้น ไฮโดรควิโนนจึงถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 25 (พ.ศ. 2539) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535
เรตินอยด์(Retinoids) มีผลรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดสี โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คือกระตุ้นการแบ่งเซลล์และเร่งการผลัดเซลล์ของผิวในชั้นอิพิทีเรียล/เยื่อบุผิว (Epitherial) ลดการเคลื่อนย้ายเม็ดสีมาที่เซล์ลผิวหนังและยั้บยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีอีกด้วย นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์กดการสร้างและป้องกันการสร้างสิวอุดตัน (Comedone) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวทั่วไป
ผลข้างเคียง: กรดเรทิโนอิกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผิวหน้าลอก อักเสบ แพ้แสงแดดได้ง่าย อาจเกิดภาวะผิวด่างขาวหรือผิวคล้ำได้ชั่วคราวและอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
SOCIAL MEDIA
Facebook